ประวัติ ของรถ Ducati’s History
บริษัทดูคาติถูกตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1926 โดยนาย
อันโตนิโอ คาวาเลียริ ดูคาติ (Antonio Cavalieri Ducati มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1855-1927) และใช้ชื่อบริษัทว่า
Società Scientifica Radio Brevetti Ducati ในครั้งแรกบริษัทนี้จดทะเทียนเพื่อการวิจัยและผลิตเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารทางวิทยุ ต่อมาลูกชายของเค้าที่ชื่อ
อาดริอาโน ดูคาติ
(Adriano Ducati)
ได้เข้ามาบุกเบิกทำให้การติดต่อทางวิทยุระหว่างประเทศอิตาลีกับอเมริกามี
ความเสถียรสมบรูณ์มากขึ้น และยังสามารถติดต่อข้ามทวีปทั้ง 5 ทวีปได้
ลูกชายของเค้าประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม
แต่หลังจากเปิดบริษัทได้เพียงปีเดียว อันโตนิโอก็ได้เสียชีวิตลง
ทำให้บรรดาลูกชายทั้งสามคนได้แก่ อาดริอาโน บรูโน และ มาร์เชลโล (Adriano
Bruno และ Marcello Ducati) เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในบริษัท
เริ่มพัฒนาและขยายกิจการอุตสาหกรรมของพวกเค้า
มีการเริ่มผลิตตัวเก็บประจุที่เรียกว่า
“Manens “ เมื่อก่อนพวกเค้าทำงานในห้องใต้ดินอาคารที่ตั้งอยู่ในใจกลางของ
โบโลญญ่า
(Bologna), บนถนน Via Collegio di Spagna ระหว่างปี 1930 และ ปี 1934
การผลิตมีการขยายตัวมากขึ้นจึงต้องย้ายโรงงานไปที่ Viale Guidotti 51
ในเมืองโบโลญญ่าเช่นเดิม

วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1935
ได้มีการวางศิลาฤกษ์ในการสร้างโรงงานใหม่
ซึ่งในเวลาต่อมามีคนงานไม่น้อยกว่า 3,500 คนเลยทีเดียว
แต่ทางบริษัทก็มีระบบการจัดระบบระเบียบได้อย่างมีประสิทธิภาพถือว่าดีที่สุด
ในโบโลญญ่า ในขณะนั้น ความมีคุณภาพของดูคาติในความเป็นจริง
ไม่ได้มีเพียงคุณภาพที่ดีของตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น
แต่ยังให้คุณภาพและสวัสดิการที่ดีไปถึงพนักงานด้วย
ข้อดีทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทนี้เป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ภายในตัวโรงงานจะแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนที่หนึ่งสำหรับพนักงานและอีกส่วนสำหรับคนงาน
นอกจากนี้ภายในบริเวณโรงงานยังมีการให้บริการ
ห้องสำหรับการอ่านหนังสือสองห้อง และมีโรงเรียนอาชีวศึกษา
มีสนามเทนนิสและสนามวอลเลย์บอล
มันเป็นเสมือนเมืองเล็กๆ จริงๆ เลย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโรงงานดูคาติถูกบังคับให้ทำการผลิตเพื่อใช้ในกอง
ทัพแทนที่การผลิตเพื่อพลเมือง
ไม่ได้มีเพียงบริษัทนี้เท่านั้นที่ประสบปัญหาบริษัทอื่น ๆ
ในอิตาลีขณะนั้นประสบปัญหาเช่นเดียวกัน หลังจากสงครามวันที่ 8 กันยายน
ค.ศ. 1943
โรงงานดูคาติถูกยึดโดยกองทัพเยอรมันและถูกวางระเบิดทำลายในภายหลัง ณ วันที่
12 ตุลาคม ค.ศ. 1944

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ผ่านพ้นไปแล้ว มีบริษัทเล็กๆ ชื่อว่า
“SIATA” (Societa Italiana per Applicazioni Tecniche Auto-Aviatorie) มีเจ้าของชื่อ
นายอัลโด ฟาริเนลลิ
(Aldo Farinelli) เค้าได้พัฒนาระบบเครื่องยนต์ขนาดเล็ก
เพื่อติดตั้งในรถจักรยาน
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือนเค้าได้ประกาศขายเครื่องยนต์นี้ในปี ค.ศ.1944
ชาวอิตาเลียนเรียกเครื่องยนต์นี้ว่า
“คุตโช่ะโล (cucciolo)” จริงๆ แล้วคำนี้แปลว่า
สัตว์ที่เพิ่งเกิดใหม่ เช่น ลูกสุนัข ลูกแมว ลูกหนู เป็นต้น และชื่อภาษาอังกฤษเรียกกันว่า
“ลูกสุนัข (puppy)”
เครื่องยนต์เล็กนี้ได้รับความสนใจจากบรรดานักธุรกิจทันที
รวมทั้งสามพี่น้องดูคาติด้วย พวกเค้าได้รวมมือกับ SIATA พร้อมๆ
กับทำการฟื้นฟูโรงงานขึ้นมาใหม่บางส่วนในช่วงท้ายปี ค.ศ.1945
เพื่อเปิดการผลิตให้ทันในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1946
ผลิตภัณฑ์แรกที่เริ่มคือเจ้า
cucciolo นี่แหละ
ตัวมันเป็นเครื่องยนต์ลูกสูบเดี่ยวที่จะนำไปติดตั้งกับจักรยานปกติได้เลย
ที่ได้รับการออกแบบโดย SIATA บริษัทนี้ตั้งอยู่ในเมืองโตริโน่ (Torino)
ต่อจากนั้นเครื่องยนต์ตัวนี้ถูกนำไปพัฒนาต่อโดย
Caproni จนกลายเป็นรถจักรยานยนต์แบบแรกของดูคาติ ขายทั่วโลกกว่า 250,000 เครื่อง
ในปี ค.ศ. 1948
ทางครอบครัวดูคาติได้ตัดสินใจขายบริษัทให้อยู่ในการถือครองของรัฐ
และตัวอาดริอาโน (Adirano) ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอเมริกา และเข้าร่วมกับ
Plamadyne เพื่อคิดค้นและพัฒนาระบบเครื่องยนต์พลาสม่า ให้กับองค์การนาซ่า
(NASA) เหลือแต่น้องชายของเค้าที่ยังทำงานอยู่กับดูคาติ
หลังจากนั้นตลาดรถจักรยานยนต์เริ่มมีการขยายตัวมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1952 ดูคาติตัดสินใจร่วมมือกับ Cruiser นำเทคโนโลยีของทั้งสองบริษัทมารวมกันผลิตรถจักรยานยนต์ ที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าแบบอัตโนมัติชื่อว่า Ducati 175 Cruiser ทำ
การเปิดตัวที่มิลาน ในปีถัดมาก็ได้เปิดตัวอีกสองรุ่นคือ รุ่น 98 cc และ
125
cc แต่ผลการตอบรับกลับไม่ดีอย่างที่ควรทำให้สองปีต่อมาจึงยกเลิกการผลิตไป
รุ่นนี้ไป


ในปี ค.ศ. 1954 บริษัทดูคาติได้ตัดสินใจแยกออกเป็น 2 บริษัทอย่างชัดเจน ได้แก่ Ducati Electrical และ Ducati Mechanical ซึ่ง
บริษัท Ducati Mechanical จะทำหน้าที่พัฒนาระบบยานยนต์ และ Ducati
Electrical
จะเดินบนสายงานเหมือนตอนต้นที่ครอบครัวดูคาติตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก
และในปีเดียวกันนี่เองที่บริษัท Ducati Mechanical ได้เริ่มร่วมงานกับวิศกรฟาบิโอ่ (Fabio Taglioni) ที่ใครๆ เรียกเค้าว่า “Doctor T”
เค้าเป็นอาจารย์สอนวิชาเทคนิค อยู่ที่อิโมล่า (Imola)
ซึ่งตัวของฟาบิโอ่เองมีการออกแบบมอเตอร์สำหรับรถแข่งเอาไว้ก่อนแล้ว
ดังนั้นเค้าและดูคาติได้ร่วมมือกันพัฒนาและนำรถที่เค้าพัฒนาขึ้นทดลองลงแข่ง
ใน “Milan-Taranto” และ “Tour of Italy” เป็นครั้งแรก
Marianna กลายเป็นแชมป์อย่างต่อเนื่องของการแข่ง Gran Fondo
ระหว่างปี 1955 และ 1957 และได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยนั้น
ในปี 1956 Ducati ได้ผลิตรถรุ่น 100 Sport
และเป็นครั้งแรกที่รถรุ่นนี้สามารถทำลายสถิติ 46 รายการได้ภายในวันเดียว
ยังไม่พอในปีเดียวกันนี้เครื่องยนต์ desmodromic ได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในรถรุ่น Ducati : 125 Gran Prix.
วิ่งได้ 12,500 รอบ/นาที
ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำมาแก้ไขปัญหาวาวล์ลอยตัวที่รอบสูงๆ
ในเครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการแข่งขัน ในตอนนั้น ระหว่างปี 1955-1956
ผู้ที่เป็นนักแข่งให้กับดูคาติ คือ “Gianni Degli Antoni” เค้าเป็นแชมป์มากมายหลายรายการ และในปี 1956 บริษัทดูคาติ ได้เปิดตัวรถรุ่น Desmo 125 GP เป็นครั้งแรก
ในภาพถ่ายจะเห็น Fabio Taglioni ถ่ายคู่กับผลงานตัวเอง 125 Desmo และกลุ่มช่างเทคนิค และวิศวกรของดูคาติ
( The adoption of the system Desmodromic engine monocilidrici racing
Ducati marked the turning point for the Borgo Panigale. In ‘image we see
the 125 Desmo with Fabio Taglioni surrounded by mechanics Recchia,
Mazza, Alberto Farnè and the chief engineer Loli.)
ในช่วงท้ายปี ค.ศ.1956 ยังได้พัฒนารถ Ducati 175
รุ่น 4 จังหวะ สำหรับใช้ท่องเที่ยว และการกีฬาให้มีความพิเศษมากขึ้น
สามารถเพิ่มความเร็วได้ถึง 110-120-135 km/h
และได้ทำการเปิดตัวรถรุ่นนี้พร้อมกันกับมอเตอร์ไซด์รุ่น “Ameirca” ที่มิลาน ในปี ค.ศ. 1957
ภาพถ่ายโรงงานผลิตของดูคาติในช่วงปี 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ในระหว่างปี 1958
ทางดูคาติได้วางแผนจะผลิตมอเตอร์รุ่น Elite 200 cc ออกมา
ซึ่งรถรุ่นนี้วิศวกร Fabio Taglioni ยังคงใช้ระบบ Desmodromic
ที่ตัวเองพัฒนามาตั้งแต่แรก และพัฒนาต่อจากรุ่น Marianna
ที่ได้รับความนิยมมาก
แต่โชคร้ายที่ในช่วงน้้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอิตาลีพอดีทำให้ตลาดการขาย
มอเตอร์ไบด์ประสบปัญหาไปด้วย การวางขายจีงเลื่อนออกไปจนในที่สุด ปี 1965
ได้ออกขายมอเตอร์รุ่นนี้เป็นครั้งแรก จากโครงการนึ้เองทำให้ ในช่วงปี 60
บริษัทดูคาติ
กลายเป็นบริษัทแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถพัฒนาและสร้างรถจักรยานยนต์รุ่น 250 cc ซึ่งนับว่าเร็วที่สุดในยุคนั้นออกมา และในปี 1960 นักแข่งรถผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ Mike HailwoodTM ได้รับฉายาว่า “superior” เค้าชนะการแข่งเสมอ ได้สั่งทำรถแข่งกับดูคาติที่มีชื่อว่า 250 Twin-Cylinder Desmo
โฉมหน้าของนักแข่งรถหนุ่มชาวอังกฤษ Mike Hailwood™ ที่ชนะการแข่งในปี 1960
รถ 250 Twin-Cylinder Desmo ที่บริษัทดูคาติ ทำขึ้นเพื่อ Mike Hailwood™
ตั้งแต่ปี 1960
ที่ประเทศอิตาลีประสบปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลทำให้ยอดขายมอเตอร์ไบด์ลดลงอย่าง
ต่อเนื่อง
ประกอบกับในขณะนั้นเริ่มมีการผลิตรถยนต์ออกขายเป็นครั้งแรกของบริษัท Fiat
ชื่อว่า Fiat 500 ทำให้ตลาดมอเตอร์ไบด์ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม
ส่งผลไปถึงหลายๆ
บริษัทที่ผลิตมอเตอร์ไบด์สำหรับแข่งขันต้องปิดกิจการลงรวมทั้ง Gilera,
Moto Guzzi และ Mondial ดังนั้นบริษัทดูคาติ
จึงต้องเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์หันไปจับตลาดต่างประเทศแทน ต่อมาในปี 1963
ก็พัฒนารถออกมาชื่อ Ducati Apollo 1260 ซึ่งเน้นตลาดผู้ใช้ชาวอเมริกันเป็นหลัก
Ducati Apollo กับผู้นำเข้าชาวอเมริกัน Joe Berliner ในปี 1963
ในปี 1962 ผลิต Ducati Scrambler 250 เพื่อวางขายให้กับชาวอเมริกันเท่านั้น
ในปี 1968 ผลิต Ducati Scrambler รุ่นนี้มีขายเฉพาะในอิตาลี
ภาพจากโฆษณาที่มีชื่อว่า “Ducati Power” ที่เห็นคือรถรุ่น Ducati Scrambler
ในสมัยนั้นฮิตมากในหมู่วัยรุ่น ในบ้านเราคงเรียกว่า “พวกฮิปปี้”
และในปี 1965 ได้ผลิตรุ่น Ducati 250 MACH 1 ออกสู่ตลาด
แต่มีความแตกต่างกัน 3 แบบตรงแฮนด์บังคับรถ
ในปี
1967 บริษัทดูคาติ ตัดสินใจที่จะปฏิวัติเครื่องยนต์ระบบ Desmodromic
ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะในรถแข่งเท่านั้น เครื่องยนต์ใหม่มีสองขนาด,
displacements 350 และ 450cc ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
ในช่วงครึ่งแรกของยุค 70 ถึงแม้ว่าจะไม่พิชิตการแข่งขันใดๆ
แต่รถของดูคาติที่สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ขนาด 250 cc
ให้วิ่งเกินกว่าความสามารถในการเกณฑ์ 150 กิโลเมตร / ชั่วโมง
ก็สามารถครองหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบความเร็วได้อย่างมาก
ในช่วงปีนี้ดูคาติได้นำรถตระกูล Mark 3D ออกจำหน่าย ซึ่งได้แก่ 250 Mark 3D, 350 Mark 3D และ 450 Mark 3D
ในช่วงท้ายปี 1969
มีการแข่งขันของตลาดรถมอเตอร์ไบด์กันมาก
และยังมีการนำเข้ารถญี่ปุ่นมาขายในยุโรปมากขึ้น รวมทั้งในอิตาลีด้วย
ถือได้ว่ารถญี่ปุ่นเป็นคู่แข่งที่สำคัญของดูคาติเลยก็ว่าได้
ภาพถ่ายโรงงานของดูคาติที่เมืองโบโลญญ่าในช่วงปี 60
นอกจากนี้ในช่วง ปี 1967-1978 บริษัทดูคาติได้ เปลี่ยนผู้บริหารเป็นกลุ่ม EFIM
(Ente Partecipazioni e Finanziamento Industrie Manifatturiere หรือ
กลุ่มเงินทุนเพื่ออุตสาหกรรมการผลิต)
ซึ่งจะควบคุมการดำเนินการผลิตแบบวันต่อวัน โดยที่ในปี 1967 — 1973
จะทำการบริหารโดย Mr. Giuseppe Montano และ ในปี 1973-1978 บริหารโดย Mr.
Cristiano de Eccher
ในช่วงปี 70 บริษัทก็เริ่มสายการผลิตรถจักรยานยนต์ L-Twin เช่นรุ่น 90 L-twin
ส่่วนของตัวรถจะทำเป็นรูปตัว L ระบบ twin-cylinder engine (L-Twin) ออกแบบโดย Fabio Taglioni
Ducati 500 GP เครื่องยนต์ไม่ได้ใช้ระบบ Desmodromic system แล้ว และรุ่นนึ้ใช้ในการแข่งขัน
Ducati 500 GP ในการแข่งขันรุ่น 500cc World Championship ปี 1971
และในการแข่งขัน Mototemporada Romagnola ที่เมือง Rimini, Riccione, Cesenatico และ Modena
ฤดูในไม้ร่วงในปี 1970 ได้เปิดตัว Ducati 750 GT ซึ่งได้ทำการพัฒนามาจากระบบ L-twin
โดยพัฒนาเครื่องยนต์เป็นระบบ 90° L-twin เพื่อใช้สำหรับขับขี่บนท้องถนนได้
ในปี 1972 ดูคาติได้ผลิต
รถแข่งรุ่น Ducati 750 Imola Desmo
เป็นรถแข่งอีกรุ่นหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
เพราะนักแข่งรถที่รู้จักกันดีคือ Paul Smart และ Bruno Spaggiari
ได้ใช้รถรุ่นนี้ชนะการแข่งขันใน ”200 Mile race” ที่เมือง Imola ในปี
1972 นั่นเอง ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์
ในภาพจากด้านซ้ายคือ Bruno Spaggiari รองชนะเลิศ, Fabio Taglioni วิศวกรของดูคาติ
และ Paul Smart ที่ชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้
และในเดือนพฤศจิกายน ปี 1973
ก็ได้เปิดตัว L-twin ที่มาพร้อมวาล์ว Desmodromic เป็นรายแรก Ducati 750
SS Desmo ที่เมืองมิลาน ในงาน Milan Motorcycle
Show เป็นรถแข่งรุ่นที่พัฒนามาจากรถแข่งที่ประสบความสำเร็จคือ Ducati 750
Imola Desmo แต่ไม่รู้ทำไมรถรุ่นนี้ถึงมียอดการผลิตแค่ 401 คันเท่านั้น
ภาพของนักแข่งชาวอังกฤษ Cook Neilson กับ Ducati 750 SS Desmo
ที่ชนะการแข่งขันในรายการ “Daytona 200-Miles”
ภายหลังที่มีการปล่อยรถรุ่น 750
GT, Sport e Super Sport Desmo (SSD) ออกสู่ท้องตลาดแล้ว บริษัทดูคาติ
ยังผลิตรถ รถรุ่นใหญ่ที่มีชื่อว่า Ducati 900 Super Sport (SS)
ที่ออกมาสู้กับรถที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่นเป็นรถที่มีขนาดเครื่องยนต์เกิน 750
cc
ในช่วงปี 1979
บริษัทได้เปิดตัวเครื่องยนต์ Pantha 500 ออกสู่ตลาด ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์
Fabio Taglioni ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อมาเป็น Ducati Super Sport (SS)
Series ในช่วงปี 90 และเครื่องยนต์ Ducati รุ่นใหม่ๆ
ก็ได้รับการพัฒนามาจากเครื่องยนต์รุ่น Pantha นี้
อ้างอิง http://www.italysmile.com/ducati-history/